.css-1wn93q2 #forum2022-logoSponsor{text-align:center;}.css-1wn93q2 .forum2022-logoSponsor-text{font-family:”KaLaTeXa Display”;font-size:10px;position:relative;z-index:3;}.css-1wn93q2 .forum2022-logoSponsor-text span{background-color:#ffffff;padding:0 10px;position:relative;z-index:3;}.css-1wn93q2 .forum2022-logoSponsor-text::after{content:”;height:1px;width:100%;background-color:rgb(216,216,216);position:absolute;top:50%;left:0;-webkit-transform:translateY(-50%);-ms-transform:translateY(-50%);transform:translateY(-50%);z-index:2;}.css-1wn93q2 ul.forum2022-logoSponsor{padding:0;margin:0;list-style:none;display:-webkit-box;display:-webkit-flex;display:-ms-flexbox;display:flex;-webkit-flex-wrap:wrap;-ms-flex-wrap:wrap;flex-wrap:wrap;gap:15px;-webkit-box-pack:center;-webkit-justify-content:center;-ms-flex-pack:center;justify-content:center;}.css-1wn93q2 ul.forum2022-logoSponsor li.forum2022-item-sponsor{height:80px;}.css-1wn93q2 ul.forum2022-logoSponsor li.forum2022-item-sponsor img{height:80px;}.css-1wn93q2 .similar__widget{height:160px;}@media (max-width:991px){.css-1wn93q2 .similar__widget{height:260px;}}

Fuji Motorsports Museum สถานที่ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ตแห่งนี้ ตั้งอยู่ติดกับสนามแข่ง Fuji Speedway เป็นพิพิธภัณฑ์รถยนต์คลาสสิกที่จัดแสดงยานพาหนะที่ใช้ในการแข่งขันบนตัวอาคารที่ทันสมัยและถูกออกแบบจัดวางอย่างลงตัว Fuji Motorsports Museum เกิดขึ้นตามความมุ่งมั่นของท่านประธาน Akio Toyoda โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรทั่วโลก นั่นก็คือ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศรวมกันมากถึง 10 แบรนด์ มีการจัดส่งรถโชว์หายาก รถแข่งที่มีแค่คันเดียวในโลก หรือรถแข่งที่เคยสร้างประวัติศาสตร์ในวงการมอเตอร์สปอร์ต หมุนเวียนสับเปลี่ยนรถยนต์ที่จัดแสดงตลอดทั้งปี 

SPONSORED

มอเตอร์สปอร์ตเริ่มขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ด้วยการจัดแข่งขันรถยนต์ในประเทศฝรั่งเศส ยานยนต์ที่ใช้แหล่งพลังงานต่างๆ เช่น ไอน้ำ มอเตอร์ไฟฟ้า และน้ำมันเชื้อเพลิง ต่างลงชิงชัยเพื่อพิสูจน์ความเหนือชั้นทางเทคโนโลยี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มอเตอร์สปอร์ตได้เหนี่ยวนำเอาความฝันและแรงบันดาลใจมาสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการแสวงหาสุดยอดสมรรถนะและความทนทานของรถ เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนายานพาหนะของมนุษย์ และการแข่งรถก็มีส่วนสนับสนุนให้เกิดวิวัฒนาการของยานยนต์ตลอด 130 ปีที่ผ่านมา

Fuji Motorsports Museum พิพิธภัณฑ์ยานยนต์โบราณ จัดแสดงประวัติศาสตร์ของกีฬามอเตอร์สปอร์ต จากมุมมองของผู้คนในแต่ละยุค เชื่อมโยงกับการผลิตรถยนต์ ประวัติศาสตร์ที่ครอบคลุมของการแข่งรถ รวมกับการจัดแสดงรถแข่งที่ถูกนำเสนออย่างเป็นระบบ ผสมผสานกับตำนานในแต่ละยุคสมัย การจัดแสดงรถแข่งที่เคยมีส่วนร่วมในการแข่งขันระดับสูงสุด รถยนต์ที่เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ลงลึกไปจนถึงความคิดของผู้ก่อตั้งแบรนด์ เกี่ยวกับการพัฒนารถแข่งในกีฬามอเตอร์สปอร์ต ภารกิจของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ การถ่ายทอดเรื่องราวในอดีต ให้ผู้เยี่ยมชมได้รับรู้ถึงเสน่ห์และความสำคัญของกีฬามอเตอร์สปอร์ต ในฐานะสถานที่สำหรับพัฒนาและปรับปรุงรถยนต์ ซึ่งครอบคลุมถึงความตื่นเต้นของการแข่งรถอย่างแท้จริง

SPONSORED

SPONSORED

SPONSORED

สำหรับคนที่ชอบรถยนต์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะข่มจิตใจของตัวเองไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปไกล เมื่อได้เดิมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ สถานที่ซึ่งเป็นศูนย์รวมของรถแข่ง ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองในอดีต ในแต่ละยุคของมัน การค่อยๆ เดินไล่ดูรถไปทีละคันตั้งแต่เริ่มเดินผ่านประตูทางเข้า ที่จัดแสดงตามลำดับของช่วงเวลา นับเป็นไอเดียที่บรรเจิดของท่านประธาน Akio Toyoda ด้วยความน่าทึ่งและสะดุดตาของเหล่าบรรดารถแข่งที่เป็นทั้งงานศิลปะกับวิศวกรรมชั้นเยี่ยม ถูกนำมาจัดแสดงมากมายละลานตาในอาคารโรงแรมที่ตกแต่งอย่างสวยงามและกลมกลืน การจัดแสงกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่มีส่วนช่วยทำให้รถโชว์มีมิติของแสงเงาที่เชื่อมโยงกับอดีต ทำให้คนที่ชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์ของรถแข่งในแต่ละยุคสมัย แทบจะข่มใจเอาไว้ไม่อยู่

เมื่อเดินเข้าไปที่ประตูทางเข้า คุณจะพบกับ Toyota 7 5L Turbo ปิศาจจักรกลรถแข่งที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาสำหรับการลงสนาม! โครงการ Toyota 7 มีการร่วมมือกันระหว่าง Toyota และ Yamaha ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1960 เพื่อสร้างรถแข่งสำหรับลงทำการแข่งขันในรายการ Japan Grand Prix และ Can-Am การจัดแสดงแบบตั้งตะแคง 90 องศา ทำให้เห็นแม้กระทั่งแผ่นโลหะปิดใต้ท้องรถ โครงสร้างแบบสเปซเฟรม ยางสลิควงโต คุณจะได้กลิ่นน้ำมันเครื่องและกลิ่นของจาระบีเมื่อเดินเข้าไปใกล้กับเครื่องยนต์ของมัน เครื่อง V8 ความจุ 4,968 ซีซี เค้นกำลังออกมาได้ 588 กิโลวัตต์ หรือ 800 แรงม้า มีแค่คนกล้าและบ้าพอเท่านั้นที่จะขับมันด้วยความเร็วสูงสุดโดยไม่หวั่นเกรงต่ออันตราย ยางสลิคหน้ากว้างที่ล้อหลังบ่งบอกถึงแรงบิดมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมา ตัวถังแบนและกว้าง เบาะนั่งแบบรถแข่งเล็กยังกับเบาะของรถโกคาร์ท วิงหลังที่ใหญ่พอๆ กับหลังคาบ้าน จากความพยายามที่จะสร้างแรงกดส่วนท้ายเพื่อไม่ให้มันบินขึ้นไปในอากาศ!! เป็นหนึ่งในรถแข่งเครื่องวางกลางลำของ Toyota อาจพูดได้ว่า Toyota 7 Project เป็นรถแข่งที่สวยและดุดันมากที่สุดเท่าที่แบรนด์สามห่วงเคยสร้างขึ้นมา แม้ว่าจะทรงพลังเพียงใดก็ตาม แต่มันอันตรายเกินไป ด้วยแอโรไดนามิกดั้งเดิม นำไปสู่การเสียชีวิตของนักขับทดสอบสองคน 

ที่ชั้นแรกของพิพิธภัณฑ์ มีการจัดแสดงยานยนต์ที่อยู่ในประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ตระดับโลก และแต่ละชั้นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์การแข่งรถ ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ไปจนถึงมอเตอร์สปอร์ตสมัยใหม่ในปัจจุบัน 

ขยับเดินผ่านประตูเข้ามาด้านใน คุณจะพบกับรถแข่งคันแรกที่ได้รับชัยชนะในการแข่งขันรถยนต์ครั้งแรกของโลก นี่คือ Panhard et Levassor Type B2 รถยนต์โบราณของแบรนด์ฝรั่งเศสที่ดูแล้วไม่น่าจะชนะรายการใดๆ ในปัจจุบันได้เลย Panhard et Levassor ก่อตั้งโดย René Panhard และ Émile Levassor ในปี 1887 ยานพาหนะคันแรกของ Panhard สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ มันใช้แป้นคลัตช์เพื่อควบคุมกระปุกเกียร์ที่ขับเคลื่อนด้วยโซ่ หม้อน้ำติดตั้งด้านหน้า นับเป็นครั้งแรกของระบบระบายความร้อนในรถแข่งที่ติดตั้งหม้อน้ำในตำแหน่งดังกล่าว แบตเตอรี่/คอยล์จุดระเบิด และไดอะแฟรมคาร์บูเรเตอร์ของ Krebs เป็นคุณลักษณะที่ดีของเครื่องยนต์ในยุคนั้น Panhard et Levassor นำกระบอกสูบเดี่ยวมาใช้ เพลาข้อเหวี่ยงห้าตลับลูกปืนและสามวาล์วต่อสูบ เป็นคุณลักษณะขั้นสูงของเครื่องยนต์น้ำหนักเบาเมื่อกว่า 100 ปีก่อน 

Stutz Bearcat ปี 1911 นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวแถวของรถแข่งก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รถคันนี้ได้รับการออกแบบ สร้าง และทำการทดสอบในขณะแข่งขัน และคว้าอันดับที่ 11 จากรถที่ลงแข่งทั้งหมด 40 คัน ในรายการ Indy 500 ได้อย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้น Stutz Bearcat คันนี้ก็ชนะอีก 25 รายการ จาก 30 รายการที่เข้าแข่งขันในปี 1912 ซึ่งเป็นการคว้าชัยชนะที่ยากต่อการทำลายสถิติ 

Mercedes-Benz W25 รถแข่งในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองของแบรนด์ตราดาว จอดเด่นอยู่ในจุดแสดงที่จัดแสงให้ช่วยเน้นความโค้งมนของตัวถัง ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1934 รัฐบาลเยอรมันได้ให้เงินทุนจำนวนมหาศาลแก่ Mercedes-Benz และ Auto Union (Audi) เพื่อพัฒนาทีมแข่งรถของบริษัท ภายในระยะเวลาแค่ 10 เดือน Mercedes-Benz ภายใต้การดูแลของ Dr. Hans Nibel ได้สร้างรถแข่งรุ่นแรก นั่นคือ W25 ซึ่งมีความโดดเด่นเป็นพิเศษในช่วงเวลานั้น เนื่องจากมีระบบเบรกไฮดรอลิก เพื่อทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือนด้านหน้าและด้านหลังแบบอิสระ การติดตั้งระบบกันสะเทือนมีความจำเป็นที่จะต้องใช้งานเบรกไฮดรอลิก เนื่องจากการเชื่อมต่อที่ซับซ้อนเกินไปสำหรับระบบดรัมเบรกแบบเชิงกลทำให้การเบรกไร้ประสิทธิภาพ บอดี้ที่สวยงามของ W25 ได้รับการปรับปรุงให้มีความคล่องตัว โครงสร้างของแชสซีเจาะรูลดน้ำหนักผ่านโลหะพวกเหล็กและอะลูมิเนียม ในช่วงปี 1934 ถึง 1936 Mercedes-Benz W25 มีเครื่องยนต์ที่แตกต่างกันหลายตัว ขุมพลังเหล่านี้คล้ายกัน และส่วนใหญ่แปรผันตามความจุของเครื่องยนต์ รายการเครื่องยนต์มีดังนี้ M25A 3360cc 354HP, M25AB 3710cc 398HP, M25B 3990cc 430HP, M25C 4300cc 462HP & ME25 4740cc 494HP

Type 35B ที่ผลิตโดย Bugatti เป็นการแนะนำรถแข่งที่มีรูปลักษณ์คล้ายไส้กรอก Type 35 รุ่น 35B สร้างขึ้นมาพร้อมกับ Type 39 ซึ่งทำขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ในยุโรป ปี ค.ศ. 1926 กฎการแข่งขันใหม่นี้ ถูกกำหนดให้จำกัดความจุของเครื่องยนต์เอาไว้ที่ 1.5 ลิตร จากนั้น Bugatti ได้ลดขนาดกระบอกสูบของเครื่องยนต์ Type 35 จาก 60 มิลลิเมตร เป็น 52 มิลลิเมตร และเพื่อชดเชยขนาดที่เล็กลงของกระบอกสูบ มีการเพิ่มระบบอัดอากาศซุปเปอร์ชาร์จเจอร์แบบ Light Roots ติดตั้งในเครื่องยนต์ รถแข่งคันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นยุคมอเตอร์สปอร์ตของ Bugatti ในสนามแข่ง และมีอายุการใช้งาน ยาวนานไปจนถึง Type 57 เพื่อทำให้รถมีศักยภาพสูงสุดในสนามแข่งรายการ Targa Florio รถ Bugatti Type 35B จึงเปิดตัวพร้อมกับ Type 39 สิ่งที่ทำให้ Type 35B แตกต่างก็คือ การติดตั้งซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เครื่องยนต์ถูกเพิ่มความจุเป็น 2.3 ลิตร กับความกว้างกระบอกสูบที่ 65 มิลลิเมตร พร้อมระยะชัก 100 มิลลิเมตร เลย์เอาต์ของแชสซีไม่มีการเปลี่ยนแปลงจาก Type 35 ของปี 1925 ดรัมเบรกใหญ่ขึ้น และขนาดของหน้ายางกว้างขึ้น ระบบอัดอากาศซุปเปอร์ชาร์จ ทำให้ Type 35B แตกต่างจาก Type 35 จุดที่ควรสังเกตก็คือ หม้อน้ำถูกติดตั้งไว้ด้านหน้า เพื่อให้มีที่ว่างมากพอสำหรับการติดตั้งซุปเปอร์ชาร์จเจอร์

Toyopet Racer รถแข่งคันแรกของ Toyota ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงที่บริษัทฯ มีความยากลำบากทางการเงิน เป็นรถแข่งทำด้วยมือทั้งคัน โดยใช้โครงสร้างที่แข็งแกร่งในลักษณะโครงโลหะถัก อุปกรณ์ในระบบส่งกำลัง นำมาจากรถเก๋ง Toyopet Model SD ปี 1949 ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียงสี่กระบอกสูบ ความจุ 995 ซีซี. เป็นขุมกำลังรุ่น Type S ของ Toyota ซึ่งให้กำลังเพียงแค่ 27 แรงม้า ตามแผนงานเดิมที่วางเอาไว้ ท่านประธานฯ Kiichiro คุณปู่ของ Akio Toyoda ประธานบริหารสูงสุดในปัจจุบัน มีแผนที่จะสร้างยานพาหนะรุ่นใหม่จำนวนหกคัน แต่มีเพียงสองคันเท่านั้นที่สำเร็จ นั่นก็คือ รถแข่ง Toyopet Racer ที่ถูกสร้างขึ้นมาในโรงงานเล็กๆ ของ Toyota รถแข่ง Toyopet Racer คันที่หนึ่ง ผลิตในโรงงาน Osaka Toyota ส่วนรถคันที่สอง สร้างขึ้นในโรงงาน Aichi Toyota เนื่องจากการออกแบบตัวถังนั้น เกิดจากการทำงานของวิศวกรจากตัวแทนจำหน่ายแต่ละโรงงานเท่านั้น รถทั้งสองคัน จึงไม่มีความคล้ายคลึงกันทางด้านกายภาพ 

โปรเจกต์รถแข่ง Toyopet Racer ของประธานฯ Kiichiro อาจล้มเหลวในการบรรลุผลลัพธ์ในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต แต่ความตั้งใจและความเพียรพยายามของเขา เพื่อสร้างรถยนต์ให้ดีขึ้นกว่าเดิมโดยใช้กีฬามอเตอร์สปอร์ตสำหรับการพัฒนานั้น ได้จุดประกายให้กับพนักงานของ Toyota และกลายเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนารถยนต์ Toyota ในเวลาต่อมา ปรัชญาดังกล่าว ได้สืบทอดมาถึงหลานชายของท่านประธานฯ Kiichiro นั่นก็คือ Mr. Akio Toyoda ประธานบริษัทคนปัจจุบันของ TMC เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ว่า กีฬามอเตอร์สปอร์ต ได้กระตุ้นจิตวิญญาณไคเซ็นของ Toyota ให้มีการพัฒนารถยนต์อย่างต่อเนื่อง ประธาน Akio ได้อนุมัติให้ทีมวิศวกรของ TMC ทำการสร้างรถแข่งคันแรกของแบรนด์ฯ จากพิมพ์เขียวในอดีตที่มีการเก็บรักษาอย่างดี เพื่อสร้างแบบจำลองที่แท้จริงของรถแข่ง Toyopet Racer และเพื่อการฟื้นคืนชีพอดีตอันยิ่งใหญ่ของจักรกลแห่งหน้าประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นที่มีความสำคัญสูงสุด

ตรงหัวมุมมี Honda RA272 ซึ่งเป็นรถ F1 คันแรกของญี่ปุ่นที่รับธงตาหมากรุกอย่างสง่าผ่าเผย เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร V12 ของ F1 RA272 แหกปากร้องอย่างโหยหวน ด้วยรอบเครื่องที่สูงปรี๊ดมากถึง 13,000 รอบต่อนาที ระหว่างการแข่งขัน มันวิ่งเข้าเส้นชัยในการแข่งขัน Mexican GP ปี 1965 เป็นการปูทางให้ Honda เสียเงินเสียทองอีกมหาศาล เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในรายการแข่งรถ F1 ในช่วงแรกจนถึงปี 1968 เมื่อ Honda มองเห็นว่า ควรจะทุ่มเงินจำนวนนี้ไปพัฒนารถขายจะดีกว่า ส่วนสีตัวถังของ RA272 ถูกนำมาพ่นให้กับรถ Honda Type R โดยมีขายในสี Championship White เสมอ เพื่อเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของรถแข่ง Honda RA272

พื้นที่ด้านในของชั้นแรก มีการจัดแสดงรถแข่งตัวแรงในอดีต ที่ลงชิงชัยในรายการ Japan Grand Prix ปี 1969 ที่จุดสูงสุดของการแข่งรถสปอร์ตในญี่ปุ่น ซีรีส์ Japan Grand Prix ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 1963 ถึง 1969 มีรถ Can-Am และ Group 7 ที่ดัดแปลงแล้วเป็นเวทีหลักของการจัดแสดง ในช่วงท้ายของ Japan Grand Prix รถแข่งแต่ละคัน มีกำลังมากกว่า 600 แรงม้า พร้อมตัวถังไฟเบอร์ที่เบาหวิวกับแอร์โรไดนามิกส์ที่ทำให้เวลาต่อรอบลดลง เป็นหนึ่งในการแข่งรถที่ทรงพลังและเร็วที่สุดในโลกในห้วงเวลานั้น Nissan ครองตำแหน่งสูงสุดในสมัยนั้น ด้วยรถแข่ง R380, R381 และ R382 ที่วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับแรก โดยคว้าแชมป์ Japan Grand Prix ถึงสามปีติดต่อกัน ในปี 1966, 1968 และ 1969 ตามลำดับ ส่วนคู่แข่งร่วมสัญชาติที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดในสนามแข่งก็คือ Toyota Project 7 ของแบรนด์สามห่วง สัตว์ประหลาดในโลกแห่งความเร็วที่เปิดตัวในปี 1970 ส่วน Nissan ส่ง R383 อัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่ ที่พัฒนาขึ้นใหม่และพร้อมที่จะใช้ลงทำการแข่งขันเช่นกัน Nissan อ้างว่า R383 มีกำลังมากถึง 900 แรงม้า บนน้ำหนักรถทั้งคันแค่ 600 กิโลกรัม อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ นำไปสู่การถอนตัวของทีมแข่ง Toyota และด้วยการเปลี่ยนโฟกัสองค์กรของ Nissan ไปสู่ความปลอดภัยและการปล่อยมลพิษที่สะอาดขึ้น R383 ไม่เคยมีโอกาสแซงขึ้นหน้า Toyota 7 Turbo เป็นการสิ้นสุดบทบาทของรถแข่งที่แรงและอันตรายที่สุดบนเกาะญี่ปุ่น 

เดินดูชั้นล่างจนทั่วและเพลินไปกับจักรกลในอดีต เมื่อประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นสอง คุณจะพบกับรถ Porsche 904 GTS ที่ถูกส่งลงทำการแข่งขันในรายการแรลลี่ระยะไกลสุดโหด Targa Florio นี่คือต้นตระกูลของ Porsche Cayman มันเตี้ยติดพื้นและเล็กมากจนแทบจะไม่กินพื้นที่ของการจัดแสดง! รายการแข่ง Targa Florio เริ่มในปี 1906 โดย Vincenzo Florio มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่คลั่งไคล้รถยนต์ เดิมมีเส้นทางแข่งยาว 148 กิโลเมตร ในเทือกเขา Madonie ของซิซิลี ในปี ค.ศ. 1951 เส้นทางนี้โดนหั่นให้สั้นลงเหลือเพียงแค่ 72 กิโลเมตร เนื่องจากความอันตรายและมีนักแข่งเสียชีวิตเกือบทุกปี เส้นทางแข่งในรายการนี้ นักแข่งต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ต้องหมุนพวงมาลัยควบคุมรถที่ความเร็วสูงผ่านโค้งประมาณ 900 โค้งระหว่างการแข่งขัน ในประวัติศาสตร์ของรายการ Targa Florio แบรนด์ Porsche คว้าชัยชนะได้ทั้งหมดถึง 11 ครั้ง ในปี 1964 กับ Porsche 904 GTS ซึ่งถูกผลักดันจนถึงขีดจำกัด เพื่อให้วิ่งจนจบการแข่งขันภายในเจ็ดชั่วโมงกับสิบนาที ตัวอักษรสามตัว GTS หมายถึง “Gran Turismo Sport” ซึ่งแปลว่า กำลัง ความน่าเชื่อถือ และความเร็ว Porsche ยังใช้คำนี้ในรถสปอร์ตรุ่นพิเศษมาจนถึงทุกวันนี้

ชั้นที่สองนี้มีรถแข่งที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายรายการจอดโชว์ตำนานอยู่เคียงข้างกัน ไม่ว่าจะเป็น- NASCAR, WRC, IMSA, หรือเอนดูลานซ์ 24 ชั่วโมงอย่าง Le Mans และอีกมากมาย ให้คนที่ชอบรถแข่งหรือแฟนคลับมอเตอร์สปอร์ตได้ดื่มด่ำกับเรื่องราวของรถแต่ละคันที่มีการบันทึกรายละเอียดต่างๆ ไว้บนแผ่นป้ายด้านหน้า

การได้เห็น Pennzoil Nissan GTR R33 GT500 ทำให้ย้อนนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กกับเกม PlayStation ในยุคแรก เซียนเกมวัยรุ่นหลายคนในยุคนั้น โดยเฉพาะวัยโจ๋ที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่น ได้รู้จักกับรถแข่งในรายการ JGTC และ Super GT ของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก รวมถึงรถแข่งที่น่าประทับใจเท่าที่เคยมีการสร้างขึ้นมา GTR R33 GT500 สีเหลืองสดใส โดดเด่นแบบเดียวกับที่ปรากฏบนจอทีวี เมื่อคุณเล่นเกม เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากที่ผมได้มีโอกาสเห็นรถฮีโร่ในฝันคันหนึ่งในช่วงที่ยังเป็นวัยแรง 

Toyota Celica GT-Four ST185 รถแข่งแรลลี่ WRC ที่ผู้ผลิตอย่าง Toyota ต้องใช้ทักษะและความเฉลียวฉลาดอย่างมาก ในส่วนของนักออกแบบและวิศวกร ที่ได้รับมอบหมายให้พัฒนา ST185 เพื่อให้ได้เครื่องจักรที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการทั้งหมดของการแข่งขันแรลลี่ระดับนานาชาติ WRC ผลิตภัณฑ์รถสปอร์ตสำเร็จรูปที่ออกวางขายในห้วงเวลานั้น ได้รับการตั้งชื่อว่า Celica GT-Four ST185 ‘Carlos Sainz Edition’ เพื่อเป็นเกียรติแก่ความสำเร็จของนักขับชาวสเปนผู้โด่งดัง ซึ่งในปี 1990 Sainz กลายเป็นแชมป์แรลลี่โลกคนแรกของ Toyota

เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดการผ่านการรับรองสำหรับการแข่งขัน Group A รถแข่ง Celica รุ่น GT-Four RC จำนวน 5,000 คันจึงผลิตและจำหน่ายในยุโรป ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น รถรุ่นนี้เป็นการพัฒนาเชิงตรรกะจากรถคูเป้รุ่น Celica ที่ใช้งานบนท้องถนนทั่วไป และเปิดตัวในเดือนกันยายน 1989 ในการแข่งขัน WRC เจ้า ST185 ไม่ประสบความสำเร็จในทันที วิศวกรของ Toyota ต้องรับมือกับปัญหาต่างๆ ท่ีถาโถมเข้ามาสู่ทีมแข่ง จนถึงกลางปี เมื่อการปรับเปลี่ยนช่วงล่างและระบบส่งกำลังใหม่ ทำให้ Celica GT-Four ST185 สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในสนามแข่งแรลลี่ Catalunya 

ฤดูกาลแข่งขันของปี 1992 นักขับของ Toyota นำโดย Sainz บันทึกชัยชนะสี่รายการ ในตำแหน่งนักแข่ง WRC เป็นครั้งที่สอง ในการแข่งขันชิงแชมป์แรลลี่โลก WRC ประเภทผู้ผลิต Toyota ได้อันดับที่สอง ซึ่งเป็นผลการแข่งขันที่น่ายินดี สร้างความหวังสำหรับผลงานที่ดียิ่งขึ้นในปีต่อไป ST185 เข้าสู่ปี 1993 ด้วยการปรับปรุงใหม่ สีเขียวและสีแดงของ Castrol ผู้สนับสนุนหลักถูกพ่นลงบนตัวถัง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญกว่านั้น คือ การย้ายจาก Pirelli ไปใช้ยาง Michelin ซึ่งประสบความสำเร็จในการปรับปรุงประสิทธิภาพของยางแรลลี่ในยุคนั้น มีการเปลี่ยนนักแข่งเช่นกัน โดยมี Juha Kankkunen แชมป์โลกสามสมัยเข้าร่วมทีม กับ Didier Auriol ด้วยการคว้าชัยชนะครั้งที่หกของฤดูกาลในรายการ Rally Australia ในที่สุด Toyota ก็บรรลุความทะเยอทะยานที่มีมาอย่างยาวนานในการคว้าแชมป์โลกผู้ผลิตในรายการแรลลี่ชิงแชมป์โลก WRC ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ลดทอนความตั้งใจของทีมที่จะประสบความสำเร็จในการแข่งขันฤดูกาลต่อไป: ระบบควบคุมการยึดเกาะถนนแบบใหม่ ได้รับการทดสอบที่ 1,000 Lakes Rally แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Toyota ในการแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดในเทคโนโลยีขั้นสูง Kankkunen สะสมชัยชนะ 5 รายการ คว้าตำแหน่งแชมป์โลกเป็นคนที่ 4 ความสำเร็จรวมถึงการจบการแข่งขันของ Toyota Celica GT-Four ST185 ด้วยอันดับ 1-2-3-4 ในรายการ Safari Rally 

เมื่อเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น Nissan ได้ยกระดับประสิทธิภาพของรถแข่งแรลลี่ในปี 1981 โดยใช้รถรุ่น Stanza ที่ปรับแต่งมาเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นที่รู้จักในญี่ปุ่นในชื่อ Violet GT รถแข่งคันนี้ถูกสร้างขึ้นตามกฎ FIA Group 4 ด้วยแนวคิดเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น Violet GT มีน้ำหนักลดลง 20 กิโลกรัม และขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียงสี่สูบ รหัส LZ20B ความจุ 2.0 ลิตร ทวินแคม DOHC 16 วาล์ว กำลัง 210 แรงม้า ที่ 7,600 รอบต่อนาที แรงบิด 216 นิวตันเมตร ที่ 5,600 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ทวินแคม 16 วาล์ว ถูกจูนให้หมุนรอบสูงได้อย่างอิสระ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความคล่องแคล่วว่องไวอย่างมากให้กับ Nissan Violet GT โดยไม่สูญเสียความน่าเชื่อถือด้านความแข็งแกร่งทนทานของขุมกำลัง นักแข่งสามารถอัดอย่างต่อเนื่องในสนามแข่งแรลลี่สุดโหดได้ทั้งวันโดยไม่พังคาเท้า กลายเป็นเครดิตที่ยอดเยี่ยมของวิศวกรในทีมแข่ง Nissan ในปี 1982 Mehta/Doughty ทำคะแนนนำในแรลลี่ Safari โดยคว้าชัยชนะถึงสี่ครั้งติดต่อกันในรถ Stanza Violet GT หลังจากนั้น ขุมกำลังถูกอัปเกรดเพิ่มขึ้นเป็น 220 แรงม้า ในสนามแข่ง Violet GT พุ่งนำหน้ารถคู่แข่งเสมอ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ Stanza Violet GT ที่ยิ่งใหญ่ ไม่สามารถชนะการแข่งขันแรลลี่ Safari ติดต่อกันเป็นครั้งที่ห้า เนื่องจาก FIA ยกเลิกกฎข้อบังคับของรถแข่งแรลลี่ใน Group 2 และ Group 4 เพื่อหันไปสนับสนุนรุ่นที่แรงกว่าอย่าง Group A และ Group B ทำให้ Stanza Violet GT ลาจากแอฟริกาพร้อมกับความทรงจำที่กลายเป็นตำนานหนึ่งในรถแรลลี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรายการ Safari

ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตำนานแห่ง 4G-63 ในปี 1995 เห็นได้ชัดว่า Mitsubishi มุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนารถแพลตฟอร์มใหม่อย่างรวดเร็ว อากาศพลศาสตร์ใหม่และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบแอคทีฟเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างสำหรับรถสปอร์ตซีดานขับเคลื่อนสี่ล้อ Lancer Evolution III ฤดูกาลแข่งขันแรลลี่ชิงแชมป์โลก ปี 1995 เริ่มต้นด้วยชัยชนะของ Evolution II และจบลงด้วยการคว้าตำแหน่งแชมป์โลกของรถ Evolution III ในฤดูกาลนี้ Mitsubishi คว้าชัยชนะการแข่งขันแรลลี่ชิงแชมป์โลกด้วยตำแหน่งทีมผู้ผลิตในรายการ APRC และคว้าอันดับที่ 2 ทีมผู้ผลิตในการแข่งขันแรลลี่ชิงแชมป์โลก WRC ปี 1996 เป็นปีสำคัญของ Mitsubishi และ Lancer Evolution III ที่ควบคุมโดยสุดยอดฝีมืออย่าง Tommi Makinen ก็ไม่ทำให้ชาวญี่ปุ่นผิดหวัง มันกำชัยชนะในการแข่งขัน WRC ห้ารายการ ด้วยรถ Lancer Evolution III ชัยชนะเหล่านี้ช่วยให้ Tommi คว้าตำแหน่ง WRC Driver’s Championship ในขณะที่ Mitsubishi คว้าอันดับ 2 WRC Manufacturers Championship ในปีเดียวกัน Mitsubishi คว้าแชมป์ APRC Manufactures Championship เป็นปีที่สองติดต่อกันโดยได้รับความช่วยเหลือจาก Richard Burns 

ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2470 Bentley ขยายขุมกำลังของรถยนต์สปอร์ตที่วางเครื่องยนต์ความจุ 3.0 ลิตร เป็น 4.5 ลิตร เพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้านอัตราเร่ง ต่อมารถรุ่นนี้ก็ครองตำแหน่งรถแข่งประเภท Endurance ระยะไกล นักการเงินการธนาคารที่ชอบการแข่งรถอย่าง Woolf Barnato ขับรถแข่ง Bentley 4 ½ ลิตร ไปสู่ชัยชนะในรายการเอนดูลานซ์ระยะไกล 24 Hours of Le Mans ปี 1928 โดยมี Bernard Rubin เป็นโคไดรฟ์เวอร์ Bentley 4½ ลิตรเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ออกแบบโดย W.O. Bentley และส่วนใหญ่ผลิตด้วยการสนับสนุนทางการเงินของ Woolf Barnato แบรนด์ Bentley ผลิตรถสปอร์ตรุ่น 4½ โดยใช้โครงสร้างแชสซีแบบ bare chassis มีหม้อน้ำฝากระโปรงหน้าและสคัทเทิลประกอบโดยผู้สร้างรถโค้ชอิสระ เครื่องยนต์เบนซินความจุ 4,398 ซีซี ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ป มีกำลังสูงสุด 110 แรงม้า ระบบจ่ายเชื้อเพลิงคาร์บูเรเตอร์ ขับเคลื่อนล้อหลัง ระบบเบรกแบบดรัมเบรกทั้งสี่ล้อ และระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดา 4 สปีด  

Toyota 2000GT รถคลาสสิกของพี่โตในช่วงปลายยุค 60 ถือเป็นรถสปอร์ตที่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับ Aston Martin DB5 ในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ตอน “You Only Live Twice” แม้จะปรากฏตัวเพียงแวบเดียวในหนัง และต้องมีการดัดแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะการหั่นหลังคาออก เพื่อให้ ฌอน คอนเนอรี ลงไปนั่งขับได้อย่างไม่อึดอัดมากนัก Toyota 2000GT ออกสู่ตลาดครั้งแรกในปี 1967 ถือเป็นรถสปอร์ตตัวจริงคันแรกที่พัฒนาโดยชาวเอเชีย และเป็นซุปเปอร์คลาสสิกคาร์ที่บรรดานักวิจารณ์ปากกล้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ปลายยุค 60 กล่าวยกย่อง รถรุ่นแรกปรากฏขึ้นในปี ค.ศ 1965 (พ.ศ. 2508) อีก 57 ปีต่อมา 2000GT ยังคงเปล่งประกายความงามและความภาคภูมิใจในการครอบครอง มันเป็นรถที่เร็ว งดงาม และหายากมาก การออกแบบและปรับแต่งรถรุ่นนี้ ถือเป็นยุคใหม่ของ Toyota ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ที่มีการขับขี่ง่ายๆ ราคาถูก แข็งแรงทนทาน

2000GT ได้รับคำชื่นชมในด้านเทคนิคของระบบส่งกำลังและความสวยงามของการออกแบบ จากผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบรถยนต์ในยุคนั้น ด้วยระบบกันสะเทือนแบบอิสระ 4 ล้อ ล้อแมกนีเซียมอัลลอยด์ขนาด 15 นิ้ว วิทยุค้นหาสัญญาณแบบใหม่ นาฬิกาจับเวลาสำหรับการแข่งขัน พร้อมด้วยรายละเอียดภายนอกและภายในที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยานยนต์คลาสสิกในยุค 60 เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมคาร์บูเรเตอร์ Solex สามตัว ผลิตกำลังสูงสุด 152 แรงม้า กำลังเครื่องยนต์ถูกส่งไปยังล้อผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ช่วยให้รถมีความเร็วเกือบ 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในแง่มุมของประสบการณ์การขับขี่ 2000GT นั้นเทียบได้กับ Porsche 911 ของเยอรมันด้วยซ้ำ Toyota ไม่เคยอ้างว่านี่เป็นรถที่โดดเด่นที่สุดในบรรดารถยนต์ญี่ปุ่น แต่ในความจริง 2000GT เป็นความปรารถนาที่ไม่มีวันสิ้นสุดของผู้เล่นรถยนต์คลาสสิกทั่วโลก

2000 GT Coupe เปิดตัวครั้งแรกในฐานะรถต้นแบบที่มีรูปทรงน่าตื่นตะลึง ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 12 เมื่อปลายปี ค.ศ. 1965 (พ.ศ. 2508) เป็นรถที่ Toyota พัฒนาร่วมกับ Yamaha ลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่ร่ำรวย ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีที่ Toyota ลงมือผลิตจริง แม้จะผลิตออกขายในจำนวนเพียงน้อยนิด ก็ยังดีกว่าเป็นได้แค่รถต้นแบบ เครื่องยนต์ 6 สูบ กำลัง 152 แรงม้า ของ 2000GT วิ่งจากโรงงานออกสู่ตลาดรถหรูในประเทศญี่ปุ่นด้วยรถยนต์รุ่นพิเศษของ Toyota ในฤดูใบไม้ผลิปี 1967 การประกอบแบบแฮนด์เมก เครื่องยนต์ถูกส่งตรงไปยัง Yamaha เพื่อปรับตั้งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และกำลังจากกระบอกสูบทั้งหกตัว แคมชาร์ปคู่ DOHC ซึ่งยกเครื่องยนต์รุ่นนี้มาจากเครื่องรุ่นท็อปของ Toyota Crown

เกียร์และส่วนประกอบระบบขับเคลื่อนอยู่เหนือความล้ำสมัยในยุค 60 แต่ในยุคนั้น Toyota มีแค่เกียร์เดียวที่สามารถรองรับแรงบิดได้ดีก็คือ FA 4 สปีด จากรถบรรทุกเล็กของ Toyota แต่เมื่อมาถึงสายการผลิต เกียร์ของ 2000GT กลับกลายเป็นเกียร์ธรรมดา 5 สปีดที่ซิงโครไนซ์กำลังจากเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ มันเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับเครื่องยนต์ที่จูนโดย Yamaha ซึ่งลากได้ถึง 7,000 รอบต่อนาที เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปที่ติดตั้งเข้ามา ถือเป็นรถยนต์คันแรกของญี่ปุ่นที่ติดตั้งเฟือง differential โดยมีอัตราส่วน 4.38:1 2000GT เป็นรถยนต์คันแรกของ Toyota ที่ใช้ดิสก์เบรกสี่ล้อ บริษัท Dunlop รับผิดชอบเรื่องการทำระบบเบรก ตัวเลขสมรรถนะของ Toyota 2000 GT เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประสิทธิภาพของ 2000GT อยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับรถสปอร์ตฝั่งยุโรป มันเป็นรถที่มีชีวิตชีวา ด้วยมาตรฐานร่วมสมัยของงานประกอบ แม้ว่าห้องโดยสารแบบสองที่นั่ง (ออกแบบมาสำหรับลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่มีรูปร่างเล็ก) จะมีขนาดกะทัดรัดเกินไปสำหรับหุ่นของเศรษฐีในอเมริกาและยุโรปที่หนักถึงร้อยกว่ากิโล และเพื่อถ่ายทำหนังเจมส์บอนด์ จึงมีการดัดแปลงเป็น 2000GT ให้กลายรถเปิดประทุนเพื่อใช้ประกอบฉากในภาพยนตร์ 007 ตอน You Only Live Twice ซึ่งถ่ายทำในญี่ปุ่น ปัจจุบัน Toyota 2000 GT เป็นรถญี่ปุ่นระดับสะสมขึ้นหิ้ง มันถูกสร้างขึ้นมาแค่เพียง 351 คันเท่านั้น และมีมูลค่าการขายเกิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐในการประมูล

A73 Lancer 1600 GSR ปี 1973-’75 เป็นรถญี่ปุ่นขนาดเล็กในยุคนั้น เครื่องยนต์ 4 สูบ ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวทางการออกแบบขุมกำลังขนาดเล็กของยุโรป Lancer 1600 GSR ขับเคลื่อนล้อหลังและมีทรงของตัวถังแบบขวดโค้ก เครื่องยนต์ 1600 ซีซี. และส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้รถประสบความสำเร็จในญี่ปุ่นและส่วนอื่นๆ ของเอเชีย คือ ระบบกันสะเทือนที่ทนทาน น้ำหนักแชสซีเบาหวิว กำลังของเครื่องยนต์ที่เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนัก (ทำให้ควบคุมได้ง่าย) และการประกอบที่แม่นยำ Mitsubishi Lancer 1600 GSR ที่ดัดแปลงจากโรงงาน เป็นผู้นำในการแข่งขัน Southern Cross Rally ในปี 1973 ที่ออสเตรเลีย เช่นเดียวกับรายการหฤโหดอย่าง Rally Safari ในปี 1974 และ 1976 ความสำเร็จในช่วงต้นนี้ทำให้ Lancer GSR มีชื่อเสียงในฐานะรถที่ทนทรหด เครื่องยนต์ SOHC 1,597 ซีซี. เกียร์ธรรมดาห้าสปีด เครื่องยนต์ 4G32 “ Saturn” ใช้คาร์บูเรเตอร์ฮิตาชิสองตำแหน่งแบบดาวน์ดราฟต์ ท่อไอเสียเหล็กหล่อ 4-2-1 จากโรงงาน กระทืบทั้งวันก็ไม่พัง การตกแต่งภายในที่อัปเกรดด้วยเบาะนั่งไวนิลลายนูน ระบบเสียงสี่แชนเนล และแน่นอนเครื่องเล่นเทป 8 แทร็ก สำหรับนักฟังเพลงในยุคนั้น 

ที่ปลายสุดของชั้นสอง ผมเดินมาเจอกับตัวแสบของยุค 90 ด้านหลังฟิล์มสีดำบางๆ ซึ่งดูเหมือนมิติเวลาที่กำลังเปิดออกมาแล้วพร้อมที่จะให้คุณเดินเข้าไปในปี ค.ศ. 1994 หลังฟิล์มสีดำจางๆ มีรถแข่งสองคันที่พิเศษสุดๆ คันหนึ่ง ผมเคยสัมผัสกับตัวถังของมันแล้วในพิพิธภัณฑ์ของ Mazda ที่ฮิโรชิมา รถแข่งคันนั้นก็คือ Mazda 787B ที่แบรนด์ Zoom Zoom ส่งมาจัดแสดงใน Fuji Motorsports Museum อีกคันเป็นรถแข่งสุดแรง Toyota GT-One การได้กลับมาเห็นตำนานแห่งชัยชนะ Mazda 787B Le Mans ซึ่งจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ในโซนที่ตกแต่งเป็นพิเศษ กลายเป็นแรงดึงดูดของคนที่ชอบความสุดจากเครื่องยนต์โรตารี่สี่โรเตอร์ มันวิ่งเข้าเส้นชัยในรายการเลอมัง 24 ชั่วโมง ทิ้งห่างรถแข่งชั้นดีจากยุโรปและอเมริกาแบบไม่เห็นฝุ่น และอีกหนึ่งความสำเร็จกับ Toyota GT-One รถแข่งที่เป็นต้นแบบของ Toyota TS050

Fuji Motorsports Museum เป็นสถานที่สำคัญที่ใช้เก็บรวบรวมประวัติศาสตร์ รถแข่งและเครื่องยนต์ ตลอดจนความเป็นมาของการพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงความมุ่งมั่นในการที่จะเอาชนะอุปสรรคในการแข่งขันรถยนต์ทั้งทางเรียบและทางฝุ่น ความทุ่มเททั้งกำลังความรู้ความสามารถ ในการวิจัยและพัฒนาเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง จากรถคันหนึ่งไปยังอีกคันหนึ่ง การเดินชมรถแข่งหายาก เป็นประสบการณ์พิเศษสำหรับคนที่ชอบรถยนต์ เมื่อคุณมายืนอยู่ตรงหน้ารถแข่งที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างความมหัศจรรย์และความตื่นตาตื่นใจในสนามแข่ง ห้องโดยสารของรถแข่งบางคันที่เปิดโล่ง สามารถบอกเรื่องราวที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี กลิ่นคราบเหนียวของน้ำมันหล่อลื่น ยางที่ครั้งหนึ่งเคยถูกบดจนไหม้ควันท่วม ตาที่เบิกโพลงของนักแข่งและไอของน้ำมันเชื้อเพลิงออกเทนสูง 

สำหรับคนที่ดูแลรถยนต์ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ในนี้ คงจะมีงานล้นมือทั้งวันเมื่อพิพิธภัณฑ์ปิด เจ้าหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของการดูแลทรัพย์สินที่ประเมินค่าไม่ได้ในนี้ ต้องเช็ดทำความสะอาดตัวถังของรถทุกคัน การจัดแสดงแบบเปิดโล่ง ทำให้ถึงประวัติศาสตร์ได้อย่างใกล้ชิด Fuji Motorsports Museum ให้ความรู้กับคนที่เข้าชมมากมาย รถแข่งแต่ละคันที่จอดโชว์ตัวเหมือนรอคอยเวลาที่จะได้ออกไปโลดแล่นอีกครั้ง บนวิถีทางที่มันเคยทำมาอย่างยิ่งใหญ่ในอดีต.

ติดตามข่าวล่าสุดได้ที่: https://thaihotnews.info/

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *